ซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ หรือ ซอฟต์แวร์จำกัดสิทธิ์ (Proprietary Software) คือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่มีลิขสิทธิ์และจำกัดสิทธิ์ในการใช้งาน ทำซ้ำ แก้ไขดัดแปลง หรือ เผยแพร่ โดยสงวนสิทธิ์ให้เจ้าของ ผู้พัฒนา หรือผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขในการใช้งาน กล่าวคือผู้ที่ซื้อซอฟต์แวร์มาสามารถใช้งานได้ตามเงื่อนไขเท่านั้น ไม่สามารถทำซ้ำ แก้ไขดัดแปลง หรือเผยแพร่ตัวซอฟต์แวร์ได้ตามต้องการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของ เพราะซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์นั้นยังเป็นทรัพย์สินของเจ้าของโดยตรงนั่นเอง
ซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ ส่วนใหญ่จะคล้ายกับซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial Software) ที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ก่อนก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ ผู้ใช้หรือหน่วยงานสามารถเช่า ซื้อ หรือขายไลเซนส์ (License) ได้ ภายใต้ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการใช้งานที่เจ้าของซอฟต์แวร์เป็นผู้กำหนด เช่น จำนวนเครื่อง จำนวนผู้ใช้ หรือระยะเวลาที่สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ก็เป็นสิ่งที่ผลักดันให้ซอฟต์แวร์ได้รับการพัฒนาและทดสอบอย่างดีโดยผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนมีการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้ซอฟต์แวร์มีความเสถียร มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีความปลอดภัยมากกว่าซอฟต์แวร์สาธารณะ นอกจากนี้หากพบปัญหาในการใช้งาน เจ้าของหรือผู้ผลิตซอฟต์แวร์ก็พร้อมสนับสนุน แก้ไขปัญหา และช่วยเหลือผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทำให้ซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์เป็นประเภทซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน
ตัวอย่างซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ ได้แก่
- ระบบปฏิบัติการ เช่น Microsoft Windows, macOS, Linux
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น Microsoft Office, Adobe Photoshop, Google Chrome, Skype, WinRAR
- เกมคอมพิวเตอร์ เช่น The Sims, Grand Theft Auto, Minecraft
จุดเริ่มต้นและที่มา
คอมพิวเตอร์ช่วงก่อนพ้นยุค 1960 เป็นคอมพิวเตอร์เมนเฟรมขนาดใหญ่ที่ราคาแพง มีค่าดูแลรักษาสูง และต้องเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ตลอด ทำให้ลูกค้านิยมเช่ามากกว่าซื้อคอมพิวเตอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ที่ใช้ ทางผู้ผลิตก็มักจะให้ซอร์สโค้ดลูกค้าไปติดตั้งและใช้งานฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ต่อมา IBM และบริษัทต่างๆ ก็เริ่มแยกบริการซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ออกจากกัน และปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นซอฟต์แวร์โคลสซอร์ส (Closed source) หรือซอฟต์แวร์ที่ไม่เปิดเผยซอร์สโค้ดให้ผู้ใช้งานเห็น เพื่อปกป้องการลงทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของตน และพัฒนามาเป็นซอฟต์แวร์ในเชิงพาณิชย์ที่มีการจำกัดสิทธิ์ในการใช้งานซอฟต์แวร์ด้วยสัญญาอนุญาตซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ (Proprietary Software License)
และในช่วงทศวรรษ 1970 ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการ Unix ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (Open-source Software) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่เปิดให้สิทธิ์ในการใช้งาน ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ เป็นของสาธารณะ จึงช่วยลดต้นทุนและเอื้อประโยชน์ให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ให้เข้ากับความต้องการได้ ทำให้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990
ซอฟต์แวร์ประเภทอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าซอฟต์แวร์ที่ต้องจ่ายค่าไลเซนส์หรือค่าลิขสิทธิ์เพื่อใช้งานจะเรียกว่าเป็นซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ได้ทั้งหมด หากแบ่งประเภทซอฟต์แวร์ตามเกณฑ์ดังกล่าวก็จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ซอฟต์แวร์เสรี (Free/Open License) คือซอฟต์แวร์ที่ทุกคนสามารถใช้งานได้อิสระ กับซอฟต์แวร์ไม่เสรี (Non-free License) หรือซอฟต์แวร์ที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขของเจ้าของซอฟต์แวร์ก่อนจึงจะใช้งานได้
ในกลุ่มซอฟต์แวร์ฟรี (Free/Open License) ก็จะแบ่งย่อยเป็น
• ซอฟต์แวร์สาธารณะ (Public-domain Software) ซึ่งใครก็สามารถนำมาใช้งาน ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือ เผยแพร่ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของซอฟต์แวร์ เช่น PD, CC0, ELIZA, Spacewar!
• ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) ซึ่งให้สิทธิ์ในการใช้งาน ทำซ้ำ ดัดแปลง หรือ เผยแพร่ เป็นของสาธารณะ แต่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของใบอนุญาตซอฟต์แวร์เสรี เช่น BSD, MIT, Apache, CC BY, Linux, Firefox, LibreOffice
ส่วนในกลุ่มของซอฟต์แวร์ไม่ฟรี (Non-free License) ก็จะแบ่งย่อยออกเป็น
• ซอฟต์แวร์แชร์แวร์ (Shareware) อนุญาตให้ทดลองใช้ซอฟต์แวร์ฟรีเป็นระยะเวลาจำกัด หลังจากหมดระยะเวลาทดลองใช้ ผู้ใช้จะต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพื่อใช้งานซอฟต์แวร์ต่อไป เช่น WinRAR, Avast Free Antivirus
• ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial Software) อนุญาตให้ใช้งานซอฟต์แวร์ได้เฉพาะผู้ที่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ เช่น Microsoft Office, Adobe Photoshop, Autodesk
โดยซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ก็จัดอยู่ในกลุ่มซอฟต์แวร์ไม่ฟรีนี้
ข้อผูกมัดทางกฎหมาย
สัญญาอนุญาตซอฟต์แวร์ หรือ ไลเซนส์ของซอฟต์แวร์ (Software License) คือเอกสารทางกฎหมายที่ควบคุมการใช้หรือการเผยแพร่ซอฟต์แวร์ โดยปกติซอฟต์แวร์ทั้งหมดมีลิขสิทธิ์คุ้มครอง เว้นแต่จะระบุไว้ว่าเป็นสาธารณสมบัติ การใช้เอกสารสัญญาจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งเพื่อการคุ้มครองซอฟต์แวร์
ในกฎหมายของประเทศไทย ซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยเจ้าของซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้ ทำการซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ หรือจำหน่ายซอฟต์แวร์นั้น ผู้ที่ละเมิดสิทธิของเจ้าของซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์อาจถูกดำเนินคดีทางอาญาและถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่างข้อกฎหมายเกี่ยวกับไลเซนส์ของซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ ได้แก่
• พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
• พระราชบัญญัติการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550